กินอาหารที่ดีทำให้ไอคิวสูงได้

อาหารดีทำไอคิวสูง


สำนักข่าว BBC ตีพิมพ์เรื่อง 'Healthy diet boosts children IQs' = "อาหารสุขภาพกระตุ้นไอคิว" การ ศึกษาเอวอน (The Avon Longitudinal Study of Parents ande Children = การศึกษาแม่และเด็กระยะยาวเอวอน; Avon = ชื่อเมืองในอังกฤษ; ตีพิมพ์ใน Epidemiology and Community Health) ติดตามกลุ่มตัวอย่างเด็กตอนอายุ 3, 4, 7, 8.5 ปี จำนวน 3,966 คน
.
ผลการศึกษาพบว่า เด็กที่กินอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตมากๆ เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว ขนมใส่ถุง ฯลฯ ตอนอายุ 3 ขวบ ทำให้ไอคิวตอนอายุ 8.52 ปีลดลง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จัดอาหารสุขภาพเพื่อเสริมเพิ่ม IQ เด็กได้แก่ เพิ่มอาหารสด เช่น ผักสด ผลไม้ทั้งผล ฯลฯ, เพิ่มปลาที่ไม่ผ่านการทอด, ลดอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต โดยเฉพาะอาหารประเภท "หวาน-มัน-เค็ม" เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง และเปลี่ยนขนมปังขาวเป็นขนมปังเติมรำ(โฮลวีท) อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาหารกลุ่มแป้งทั้งหมด
.
การศึกษาก่อนหน้านี้ในไทยพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กไทยมี IQ ต่ำได้แก่
.
1. แม่และเด็กขาดไอโอดีน > ควรเสริมไอโอดีน โดยเฉพาะปลาที่ไม่ผ่านการทอด (เพื่อให้ได้ไขมันชนิดดีพิเศษ หรือโอเมกา-3 ด้วย),
ใช้เกลือไอโอดีน และกินอาหารทะเล 2 ครั้ง/สัปดาห์ โดยต้องเสริมตั้งแต่ก่อนแม่ท้อง (ตั้งครรภ์) 3-6 เดือน จึงจะได้ผลดีที่สุด
.
2. เด็กขาดธาตุเหล็ก > ทำให้เป็นโรคเลือดจาง ป้องกันได้ด้วยการตรวจเลือดคัดกรอง และกินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น
เลือดไก่ เลือดหมู ตับ (ตับกินน้อย นานๆ ครั้งดี  - กินมากหรือกินบ่อยทำให้เสี่ยงต่อการได้รับวิตามิน A สูงเกิน และเป็นพิษได้) ฯลฯ
หรือกินยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก
.
3. เด็กได้รับสารตะกั่ว-โลหะหนัก > เมืองไทยมีหม้อซุป-ก๋วยเตี๋ยว, ตู้น้ำกดที่เชื่อมด้วยตะกั่วจำนวนมาก
ควรหลีกเลี่ยงการกินบะหมี่-ก๋วยเตี๋ยว-อาหารที่มีน้ำซุปนอกบ้าน ยกเว้นตรวจสอบแล้วว่า ทางร้านให้หม้อสเตนเลสที่เชื่อมด้วยแก๊ส

ดื่มน้ำก่อนเข้าห้องสอบ ก็ทำให้สมองดีขึ้นได้

ไม่น่าเชื่อ..ดื่มน้ำก่อนสอบ ก็ทำให้สมองดีได้..?


ดื่มน้ำก่อนเข้าห้องสอบ ก็ทำให้สมองปลอดโปร่งได้
ท่านอาจารย์แคโรลีน เอดมอนส์ และคณะนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยอีสท์ ลอนดอน อังกฤษ ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเด็กๆ อายุ 7-9 ปี เกือบ 60 คน

กลุ่มตัวอย่างได้รับการแบ่งเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มหนึ่งได้ดื่มน้ำ 250 มิลลิลิตรก่อนสอบ 20 นาที อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ดื่มน้ำเพิ่ม หลังจากนั้นให้เด็กๆ หาจุดแตกต่างระหว่างการ์ตูน 2 ตัว

ผลการศึกษาพบว่า เด็กๆที่ได้ดื่มน้ำก่อนสอบทำคะแนนได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มน้ำ 34% เมื่อให้ทำแบบทดสอบที่ยากขึ้น...กลุ่มที่ได้ "น้ำเลี้ยง" ทำคะแนนได้ดีกว่า 23% และเมื่อทำการทดสอบต่อไป โดยให้ทำเกมส์อักษรไขว้...กลุ่มที่ได้ "น้ำเลี้ยง" ก็ทำคะแนนได้ดีกว่า 11%  ส่วนผลการทดสอบความจำระยะสั้นพบว่า ทั้งสองกลุ่มทำได้ดีพอๆ กัน กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ สมองของกลุ่มที่ได้ "น้ำเลี้ยง" อาจทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากไม่ภาวะขาดน้ำ อีกกลไกหนึ่งคือ เด็กๆ ที่ไม่ได้ "น้ำเลี้ยง" อาจจะถูกความรู้สึก "หิวน้ำ" รบกวน

การศึกษาอีกรายงานหนึ่งทำโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเตนบวก สวีเดน

ทำการศึกษาในเด็กผู้ชายวัยรุ่นอายุ 15 ปี มอบปลาให้อาสาสมัครอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ผลการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่กินปลามากกว่า ทำแบบทดสอบไอคิว (IQ) ได้คะแนนดีกว่า
...
การศึกษาจำนวนมากพบว่า การกินปลาช่วยให้สมองเด็กทารกทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงสมรรถภาพสมองเสื่อมลงในคนวัยกลางคน นอกจากนั้นเด็กๆ ที่คุณแม่กินปลาในระหว่างตั้งครรภ์ (ท้อง) ก็มีพัฒนาการดีกว่า

สรุปคือ วิธีที่จะสอบให้ได้คะแนนดีๆ อาจจะต้องเริ่มตั้งแต่ให้คุณแม่กินปลาในระหว่างการตั้งครรภ์
หลังจากนั้นกินปลาเป็นประจำจนถึงวันสอบ ก่อนสอบดื่มน้ำให้มากพอ

กินอาหารแบบใหน.? ทำให้สอบได้ที่ 1

กินอาหารแบบไหน..? จึงจะเรียนเก่ง สอบได้คะแนนดี 

อาหารบำรุงสมอง
อาหารบำรุงสมอง ควรเลือกแบบไหนดี..?
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า อาหารเช้ามีส่วนเพิ่มสมรรถภาพสมอง เด็กๆ ที่กินอาหารเช้ามีแนวโน้มจะสอบได้คะแนนดีกว่า (และอ้วนน้อยกว่า) เด็กที่ไม่กินอาหารเช้า

ท่านอาจารย์ ดอกเตอร์พอล เจ. เวาเจเลอส์ และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ทา เอดมอนทัน สหรัฐฯ ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนเกรด 5 จำนวน 4,589 คน เด็กเหล่านี้สอบ ตก 19.1% เมื่อทำการศึกษา วิเคราะห์ เจาะลึกลงไปพบว่าเด็กๆที่สอบตกส่วนใหญ่กินอาหารไม่ค่อยดี ทั้งปริมาณและคุณภาพ เมื่อเทียบกับเด็กๆที่สอบได้คะแนนดี

ผลการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่สอบได้คะแนนดีมีแนวโน้มจะกินอาหารครบทุกมื้อ (3 มื้อ) มากกว่า
ส่วนอาหารที่เด็กๆ ประเภทเรียนเก่งกินมากกว่าเด็กๆ ที่สอบตก หรือได้คะแนนไม่ดีได้แก่

  - ผัก
  - ผลไม้
  - อาหารไขมันต่ำ

เด็กๆที่เรียนดีมีแนวโน้มจะกินอาหารสุขภาพหลากหลาย (หลายชนิด) หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมากกว่า กินอาหารซ้ำซาก (เหมือนเดิม) น้อยกว่า  นอกจากนั้นเด็กๆ ที่เรียนดียังกินอาหารที่ให้กำลังงานจากแป้ง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท(เติมรำ) ฯลฯ และโปรตีนพอสมควรต่างจากเด็กๆ ที่สอบตกหรือสอบได้คะแนนไม่ดี ซึ่งมีแนวโน้มจะกินอาหารที่ให้กำลังงานจากไขมันสูง เช่น อาหารทอดๆ ผัดๆ อาหารฟาสต์ฟูด(จานด่วน) อาหารสำเร็จรูป ฯลฯ

อ่านหนังสือช่วงเวลาไหน..? จำได้แม่นที่สุด

อ่านหนังสือนอนตอนไหนความจำดี..?
เคล็ดลับสมองดี เพิ่มระดับไอคิว

อาจารย์นายแพทย์เจฟฟรี เอลเลนโบเกน แห่งวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ ทำการศึกษาวิจัยในผู้ใหญ่ 48 คน อายุ 18-30 ปี อาสาสมัครทุกท่านนอนหลับดี ไม่มีปัญหานอนไม่หลับ โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

- กลุ่ม ที่ 1 เป็น "กลุ่มตื่น (wake group)" ให้ท่องจำคำศัพท์ที่เป็นคู่ๆ กัน 20 คู่ตอนเช้า (9.00 น.) และทำการทดสอบตอนกลางคืน (21.00 น.)
- กลุ่มที่ 2 เป็น "กลุ่มหลับ (sleep group)" ให้ท่องจำคำศัพท์ที่เป็นคู่ๆ กัน 20 คู่ตอนกลางคืน (21.00 น.) และทำการทดสอบตอนเช้า (9.00 น.)

ความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่มนี้คือ กลุ่มหลับมีเวลานอนพักผ่อนคั่นก่อนทำการทดสอบ

นอกจากนั้นยังแบ่งกลุ่มตื่น และกลุ่มหลับทั้ง 2 กลุ่มเป็น 2 กลุ่มย่อย
พวกหนึ่งไม่มีการรบกวน (interference) ด้วยการให้งานท่องจำเพิ่ม พวกที่สองมีการรบกวนด้วยการให้งานท่องจำเพิ่ม

อาจารย์ ท่านออกแบบการวิจัยให้เพิ่มงานที่รบกวนความจำเดิม
โดยเพิ่มคำศัพท์อีก 20 คู่ และให้คำคู่คำแรกซ้ำกับคำศัพท์ชุดเก่า เพื่อให้ความจำมันตี(รบกวน)กันเอง

ผลการศึกษาพบว่า "กลุ่มนอน (A,C)" มีความจำ (recall rate) ดีกว่า "กลุ่มไม่ได้นอน (B, D)"

 - กลุ่มนอน+ไม่ถูกรบกวน (C) มีความจำดีกว่ากลุ่มไม่นอน+ไม่ถูกรบกวน (D) 12%
 - กลุ่มนอน+ถูกรบกวน (A) มีความจำดีกว่ากลุ่มไม่นอน+ถูกรบกวน (B) 44%


อาจารย์เอลเลนโบเกนแนะนำว่า พวกเราที่ยังต้องเรียน ต้องสอบ หรือต้องการถนอมความจำ (เช่น อายุมากขึ้น ฯลฯ) ควรนอนให้พอ

ผลของการนอนนอกจากจะช่วยเสริมความทรงจำแล้ว ยังมีผลเพิ่มขึ้นต่อสมาธิ
โดยเฉพาะเมื่อมี "เรื่องยุ่งๆ" หรือ "เรื่องกวนใจ" มารบกวนความจำ

***การศึกษาวิจัยนี้พบว่า ท่องจำก่อนนอนดีกว่าตอนเช้า***




น้ำมันปลา คือยาบำรุงสมองชั้นเลิศ

น้ำมันปลา ดีกับสมองอย่างไร..?

เคล็ดลับเรียนเก่ง สมองดี
น้ำมันปลา สุดยอดอาหารบำรุงสมอง

อาจารย์ดอกเตอร์เบาจ์ มาเรีย วัน เกลเดอร์ แห่งสถาบันสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เนเธอร์แลนด์ ทำการศึกษาวิจัยในผู้ชายที่มีสุขภาพดี 210 คน ที่มีอายุ 79-89 ปี และทำการติดตามเป็นเวลา 5 ปี พบว่า คนที่กินปลาเป็นประจำ จะมีสมรรถภาพสมองในด้านความจำ และการตัดสินใจ (cognitive function) เสื่อมตามวัยน้อยกว่าคนที่ไม่กินปลาเลย

การศึกษาก่อนหน้านี้ในเนเธอร์แลนด์  พบว่า กรดไขมันชนิดดีมาก (EPA & DHA)
ในน้ำมันปลาช่วยป้องกันสมองเสื่อมในคนสูงอายุ (dementia) และโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) อาจารย์ดอกเตอร์เกลเดอร์แนะนำว่า คนเราควรจะกินน้ำมันปลา เพื่อให้ได้กรดไขมันชนิดดีมาก (EPA & DHA) วันละ 400 มิลลิกรัม

กรดไขมันชนิดดีมาก (EPA & DHA) พบมากในน้ำมันปลา พบรองลงไปในไข่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช (เช่น ข้าว ข้าวโพด ฯลฯ) ผักชนิดหนึ่ง (leek / ผักชนิดหนึ่งคล้ายหัวหอม) และเมล็ดแฟลกซีด (flaxseed)

การศึกษาอีกรายการหนึ่ง...
อาจารย์ดอกเตอร์เมย์ เอ. เบย์ดาวน์ แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา สหรัฐฯ ทำการศึกาาในกลุ่มตัวอย่าง 2,251 คน

ผลการศึกษาพบว่า คนที่กินอาหารที่มีกรดไขมันชนิดดีมาก (EPA & DHA)
มีความเสื่อมของสมรรถภาพสมองในด้านการพูด (verbal ability) ลดลงตามวัยน้อยลง
ดอกเตอร์ วิลเลียม อี. คอนนอร์ และดอกเตอร์ซอนยา แอล. คอนนอร์ บรรณาธิการวารสารโภชนาการคลินิกอเมริกันกล่าวว่า กรดไขมันชนิดดีมาก (EPA) มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเม็ดเลือด (anti-clotting) และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammation) ผลดังกล่าวอาจมีผลทำให้ความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดอุดตันลดลง

ศาสตราจารย์คเจล โตเรน และคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเตนบวก สวีเดน
ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นผู้ชายอายุ 15 ปี 3,972 คน ติดตามไปจนอายุ 18 ปี
การศึกษานี้เท่มาก เนื่องจากมีการแจกปลาให้เด็กๆ ไปกินทุกสัปดาห์

ผลการทดสอบไอคิวพบว่า
วัยรุ่นที่กินปลาสัปดาห์ละครั้ง > ไอคิวสูงขึ้น 6%
วัยรุ่นที่กินปลามากกว่าสัปดาห์ละครั้ง > ไอคิวสูงขึ้นเกือบ 11%

การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า การกินปลาในระหว่างการตั้งครรภ์(ท้อง)ช่วยให้เด็กแรกเกิดมีพัฒนาการดีขึ้น
ผู้ใหญ่วัยกลางคนก็ได้รับประโยชน์จากการกินปลาเช่นกัน

อาจารย์โตเรนกล่าวว่า กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ปลามีกรดไขมันที่ดีทั้งในรูปโอเมกา-3 และโอเมกา-6
กลไกอื่นๆ คือ ปลาอาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ หรือช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท

ปลาที่ดีกับสุขภาพมากๆ คือ ปลาทะเลที่ไม่ผ่านการทอด
เนื่องจากการทอดจะทำให้น้ำมันปลาซึมออก (ไปในกระทะ) และน้ำมันที่ใช้ทอด (จากกระทะ) ซึมเข้าไปในเนื้อปลา
ถ้าถามว่า ปลาทูทอดกับปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ... แบบไหนน่าจะมีน้ำมันปลามากกว่า
คำตอบคือ ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศน่าจะมีน้ำมันปลามากกว่า เนื่องจากไม่ผ่านการทอด

ที่มา fengshuitown.com

เล่นเกมส์บ่อยๆ ทำให้ความจำสั้น

เล่นเกมส์บ่อย ระวังความจำสั้น เรียนไม่ทันเพื่อนนะ

เกมส์ออนไลน์ ทำให้สมองเสื่อมได้

เล่นเกมส์บ่อยๆ ทำให้ความจำสั้นได้
ท่าน อาจารย์ดอกเตอร์มาร์คัส ดโวชัค และคณะ แห่งสถาบันกีฬาเยอรมัน มหาวิทยาลัยโคโลญจน์ เยอรมนีทำการศึกษาในเด็กสุขภาพดี ไม่มีปัญหาการนอน และไม่ต้องใช้ยารักษาโรคประจำตัว 11 คน อายุ 12-14 ปี
การศึกษาทำการทดลองกลุ่มตัวอย่าง 2 วันไม่เหมือนกัน...
โดยวันแรกให้เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ "Need for speed" 60 นาที ส่วนอีกวันหนึ่ง ( เกมขับรถแข่ง )
อีกวันหนึ่งให้ชมภาพยนต์ เช่น แฮร์รี พอทเทอร์, สตาร์เทร็ค ฯลฯ ตอนเน็ย ก่อนเวลานอน 2-3 ชั่วโมง

ผลการศึกษาพบว่า การเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์มีส่วนกระตุ้นระบบประสาทอย่างรุนแรง
คือ ทำให้ชีพจรเร็วขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น และหายใจเร็วขึ้น เมื่อตรวจคลื่นสมอง ระหว่างการนอนหลับพบว่า แบบแผนของการนอนหลับเปลี่ยนไป โดยทำให้ช่วงการนอนหลับที่มีผลต่อการประมวลผล เก็บ และจัดหมวดหมู่ความจำลดลง เมื่อตรวจความจำทางด้านภาษาพบว่า วันที่เด็กๆ เล่นเกมส์มีความสามารถในการจำลดลง

เรียนเสนอให้พวก เราที่ชอบเล่นเกมส์เปลี่ยนเวลาเล่น ให้ห่างจากเวลานอนให้มาก
เพื่อป้องกันไม่ให้เกมส์กระตุ้นสมองมากจนนอนได้น้อยลง และคุณภาพของการนอนลดลง ถ้าเป็นไปได้... ควรพิจารณาลดเวลาเล่นเกมส์ให้น้อยลง ก่อนเล่นควรดื่มน้ำสัก 2 แก้ว เดินไปมาสัก 5-10 นาที
เพื่อให้เลือดไหลเวียนดี เป็นการอุ่นเครื่อง (วอร์มอัพ / warm-up) เนื่องจากหัวใจอาจต้องทำงานหนักระดับ "น้องๆ" หรือใกล้เคียงกับการวิ่งทีเดียว การอุ่นเครื่องมีส่วนช่วยป้องกันอันตรายจากการเล่นเกมส์ได้ระดับหนึ่ง ซึ่งแม้จะป้องกันอันตรายได้ไม่หมดก็ยังดีกว่าไม่อุ่นเครื่องเสียเลย หลังเล่นควรเดินอย่างน้อย 5-10 นาที หายใจลึกๆ ช้าๆ สักพัก เพื่อให้สมองมีเวลา "เบาเครื่อง (warm-down)" ดื่มน้ำ และล้างมือด้วยสบู่ เนื่องจากเชื้อโรคหลายชนิดชอบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แถวๆ คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด และแป้นเล่นเกมส์

ที่มา นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์

ออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยเพิ่มระดับไอคิว

การออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ทำให้เด็กสมองดี เรียนเก่งได้

ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้สมองดีได้



ท่านรองศาสตราจารย์แพทย์หญิงแคเธอรีน เดวิส ผู้เชี่ยวชาญโรคเด็ก และคณะ แห่งวิทยาลัยแพทย์จอร์เจีย ทำการศึกษาในเด็กอายุ 7-11 ปีที่ใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ (sedentary) 163 คน ติดตามไป 3 เดือน
ท่านแบ่งเด็กๆ เป็น 3 กลุ่มคือ
- กลุ่มแรกไม่ต้องออกกำลัง > ให้นั่งๆ นอนๆ แบบเดิม
- กลุ่มที่สองให้ออกกำลังอย่างหนัก เช่น วิ่งผลัด วิ่งชิงธง กระโดดเชือก ฯลฯ คราวละ 20 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง
- กลุ่มที่สามให้ออกกำลังอย่างหนัก เช่น วิ่งผลัด วิ่งชิงธง กระโดดเชือก ฯลฯ คราวละ 40 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง

ผลการศึกษาพบข่าวดีคือ

- เด็ก ที่ออกกำลังคราวละ 40 นาทีทำคะแนนด้านการวางแผน จัดการ และทำการบ้านได้เพิ่มขึ้น 4 คะแนน ยกเว้นคะแนนด้านคำนวณ(คณิตศาสตร์)พบว่า เด็กที่ออกกำลังไม่ได้คะแนนเพิ่มขึ้น...
- เด็กที่ออกกำลังคราวละ 20 นาทีทำคะแนนแบบนี้ได้เพิ่มขึ้น 2 คะแนน
- เด็กที่ไม่ออกกำลังไม่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเลย
นอกจากนั้นไขมันในร่างกายของกลุ่มที่ออกกำลังยังลดลงไปในช่วง 1-2% ผลการตรวจสแกนสมองพบว่า สมองส่วนหน้า (frontal lobe) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความฉลาดและความคิดมีการทำงานมากขึ้นในเด็กกลุ่มที่ออก กำลัง  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังมีส่วนช่วยให้สมองส่วนนี้ทำงานได้ดีขึ้น
การศึกษาก่อน หน้านี้ทำในสัตว์ทดลองพบว่า การออกกำลังทำให้จำนวนเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น
เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าสัตว์ที่ไม่ได้ออกกำลัง มีคำกล่าวว่า "สมองดี เริ่มต้นที่เท้า" หมายถึงสมองของคนที่ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำมักจะทำงานได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกแรง-ออกกำลัง นอกจากนั้น การออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองแตก-ตีบ ตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคซึมเศร้า และโรคเรื้อรังอื่นๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อสมองทางอ้อม

ที่มา..fengshuitown.com

พักผ่อนเพียงพอ ก็ทำให้เด็กสมองดี เรียนเก่งได้

การพักผ่อนที่เพียงพอจะทำให้เด็กขึ้น และฉลาดขึ้น แถมเรียนเก่ง..อีกด้วย

พักผ่อนเพียงพอ ก็ทำให้เด็กสมองดี เรียนเก่งได้
 
พักผ่อนเพียงพอ ก็ทำให้เด็กสมองดี เรียนเก่งได้

จากการศึกษานักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ผลปรากฏว่า เด็กไทยนอนไม่พอดังนี้

- วันธรรมดา > นอนน้อยกว่ามาตรฐานวันละ 1-1.5 ชั่วโมง
- วันหยุด > นอนน้อยกว่ามาตรฐานวันละ 10.5-1 ชั่วโมง
- รวมเป็น > นอนน้อยกว่ามาตรฐานสัปดาห์ละ 6-9 ชั่วโมง

การนอนหรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ มีผลทำให้ฮอร์โมนโกรธ (growth hormone / GH) ซึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต(ในเด็ก) และซ่อมแซมส่วนสึกหรอ(ทั้งเด็กและผู้ใหญ่)ลดลง การนอนไม่พอในระยะยาวส่งผลให้เด็กไทยเตี้ยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน นอกจาก นั้นการนอนไม่พอยังส่งผลให้สมองมึนงง รับรู้ช้า สมาธิลดลง ความทรงจำลดลง… นั่นคือ ทำให้ฉลาดน้อยลง รวมทั้งไอคิว (I.Q.) ลดลงด้วย
ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนให้เด็กงีบหลังอาหารกลางวัน โดยจัดที่ให้เด็กนอนวันละ 10-15 นาทีมา 3 ปีแล้ว ส่วนสหรัฐอเมริกาสนับสนุนให้เด็กมัธยมศึกษาตอนปลายนอนกลางวันมาแล้ว 2 ปี อาจารย์นายแพทย์ดอกเตอร์วิลเลียม ดีเมนท์ กล่าวว่า เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมง ความต้องการนอนอยู่ในช่วง 7-9 ชั่วโมง

คำแนะนำของหน่วยงานสุขภาพรัฐวิคทอเรีย ออสเตรเลียกล่าวว่า

    * เด็กประถมศึกษาต้องการนอนวันละ 9-10 ชั่วโมง
    * วัยรุ่นต้องการนอนวันละ 9-10 ชั่วโมง
    * ผู้ใหญ่ต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมง

ข่าวดีสำหรับการนอนได้แก่...

   1. การเพิ่มเวลานอนเพียงวันละ 30 นาทีก็มีผลต่อการเรียนของเด็กๆ มาก ทำให้ผลการเรียนดีขึ้นมาก
   2. การประหยัดเวลาโดยลดชั่วโมงการชมโทรทัศน์ เล่มเกมส์ หรือใช้อินเตอร์เน็ตมากเกินมีส่วนช่วยเพิ่มเวลานอนได้
   3. ถ้า นอนไม่พอ... แนะนำให้นอนชดเชยในวันหยุด หรือวันที่พอมีเวลาว่าง
      เพื่อป้องกันการเกิน "หนี้การนอน (sleep debt)" สะสม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
   4. การนอนให้พอ... มีส่วนช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้ จึงควรนอนให้เต็มที่อย่างน้อย 2-3 คืนก่อนขับรถเสมอ

ที่มา..fengshuitown.com