กระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า เพิ่มความจำได้

เคล็ดลับเรียนเก่งสมองดี

คุณเชื่อหรือไม่ว่า..การกระตุ้น สมอง ด้วยไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความจำของมนุษย์เราได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า..อย่างไปทดลองเองนะครับ เพราะเรื่องราวที่ผมจะบอกเล่าให้ฟังในวันนี้ เป็นข้อมูลจากทางวารสารวิทยาศาสตร์ของอเมริกา ซึ่งได้รายงานการทดลองใช้ไฟฟ้ากระตุ้นตรงจุดเฉพาะที่ภายนอกกะโหลกศีรษะของคนไข้ ผลปรากฎว่า ช่วยให้คนไข้สามารถจดจำข้อเท็จจริงบางอย่างได้ดีขึ้นกว่าเดิม และเรื่องราวก็มีอยู่ว่า ทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์นได้ทดลองใช้ไฟฟ้ากระตุ้นสมองบริเวณที่เป็นศูนย์ความจำของอาสาสมัคร 16 คน ได้ผลสรุปว่า พวกเขาสามารถทำข้อสอบผิดน้อยลงถึงร้อยละ 30 เลยทีเดียวครับ

สำหรับการทดลองที่ว่านี้ก็คือ ทางด้านทีมนักวิจัยได้ใช้อุปกรณ์กระตุ้นด้วยไฟฟ้ากับอาสาสมัครเหล่านั้นทุกวัน วันละ 20 นาทีติดต่อกันนานเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งเรื่องนี้ทางด้านศาสตราจารย์โจเอวอสส์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักวิจัยได้กล่าวว่า “เราเท่ากับแสดงให้เห็นเป็นครั้งแรก เราสามารถจะปรับเปลี่ยนการทำงานของความจำของสมองได้ โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัดหรือใช้ยาแต่อย่างใด เพราะล้วนแต่ไม่ได้ผล”  และศาสตราจารย์โจเอวอสส์ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า “การกระตุ้นภายนอกได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สามารถช่วยให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ดี”

ได้ยินเรื่องราวดีๆอย่างนี้แล้ว อาจสรุปได้ว่าไม่เพียงแค่สารอาหารที่มีประโยชน์เท่านั้นที่ช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านมันสมองของมนุษย์ วิทยาการทางด้านวิทยศาสตร์ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีบางครั้งก็มีส่วนช่วยเสริมความจำ เพิ่มทักษะเพิ่มขีดความสามารถทางสมองของเราได้เช่นกัน.


อ้างอิงจาก : ไทยรัฐ

10 วิธีบริหารสมอง ด้วยตัวคุณเอง


กิจกรรมต่างๆเหล่านี้ เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ว่า เป็นวิธีในการบริหารสมองที่ถูกต้อง หากเรามีการฝึกปฏิบัติให้เป็นนิสัย สามารถเพิ่มศักยภาพ เสริมทักษะในการจำ เพิ่มระดับไอคิว ของเราได้ มีรายละเอียดดังนี้ครับ

1. อย่าทำเรื่องซ้ำซาก ควรเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันบ้าง เช่น เคยตื่นขึ้นมาเปิดเพลงฟัง ลองเปลี่ยนเป็นเดินรดน้ำต้นไม้หรือออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายดูบ้าง

2. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่นใช้เส้นทางใหม่ เปลี่ยนไปกินข้าวร้านอื่นแทนร้านประจำ หรืออ่านหนังสือแนวใหม่ๆ

3. ฝึกทักษะ เช่น ทำงานฝีมือต่างๆ ซ้อมดนตรีหรือเล่นกีฬาบ้าง

4. เล่นเกมฝึกสมอง เช่น เกมทายภาพ ปริศนาอักษรไขว้ ปัญหาเชาว์ หมากฮอส หมากล้อม เป็นต้น

5. ฝึกความจำ ลองพยายามจำชื่อคน สถานที่ หรือเปิดพจนานุกรมท่องจำศัพท์แปลกๆดูบ้าง

6. ทำสมาธิ ให้จิตใจรู้สึกสงบผ่อนคลาย ฝึกสติให้ระลึกรู้ในสิ่งที่ทำอยู่เสมอ

7. สนใจสิ่งรอบตัว เช่นติดตามข่าวสารต่างๆ แสดงความคิดความเห็น หรือเล่าเรื่องราวประสบการณ์ให้คนอื่นๆฟัง เข้าสังคมคบหาเพื่อนทำความรู้จักกับคนใหม่ๆบ้างเข้าร่วมสมาคมหรือชมรมต่างๆ จัดกิจกรรมภายในครอบครัว เช่น ไปกินข้าวนอกบ้าน ทำกับข้าวกินกันเอง หรือไปเที่ยวในสถานที่แปลกๆใหม่ๆ

8. เปลี่ยนใช้ประสาทสัมผัสอื่นแทนบ้าง เช่น อาจจะใช้มือข้างที่ไม่ถนัดหยิบของ เขียนหนังสือ วาดรูป แปรงฟัน กวาดบ้าน เป็นต้น หรืออาจจะส่งภาษา ท่าทางต่างๆแทนคำพูด เพื่อกระตุ้นสมอง

9. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองของเราได้

10. มองโลกในแง่ดี มีเมตตา คิด พูด และกระทำ แต่สิ่งที่ดีๆ พยายามทำอารมณ์ให้เบิกบาน ยิ้มบ่อยๆ ควรมีอารมณ์ขันบ้าง และพยายามแบ่งปันสิ่งดีๆให้สังคมและคนรอบข้าง โดยการให้ความช่วยเหลือคนอื่นบ้าง สุดท้ายสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพสมองของเรา ก็จะมีการพัฒนาไปในทางที่ดีนั่นเองครับ


หัด ขีดๆ เขียนๆ ในยามว่าง ช่วยบริหารสมองเราได้

เคล็ดลับเรียนเก่งสมองดี

ในสมัยเป็นเด็ก เรายังจำได้ไหมว่า พอมีเวลาว่างนิดๆ หน่อยๆระหว่างช่วงว่างเว้นจากการนั่งเรียนในห้องเรียน เราก็มักหยิบดินสอหรือปากกามาขีดๆ เขียนๆ ลงบนแผ่นกระดาษโดยไร้จุดมุ่งหมาย ไร้จินตนาการ อาจขีดไปเรื่อยๆหรือไม่ก็วาดรูปเป็นเรื่องเป็นราวตามจินตนาการของเราเอง แต่หารู้ไม่ว่า นั่นเป็นการบริหารสมองได้ดีอีกวิธีหนึ่งที่เดียวครับ แต่ต้องเป็นเฉพาะเวลาว่างเท่านั้นนะ ไม่ใช่การขีดเล่นระหว่างเรียนนะ..เดี๋ยวจะโดนคุณครูดุเอา

เคล็ดลับสมองดี

ซึ่งเอกสารทางการแพทย์หลายเล่มได้ระบุตรงกันว่า การที่เราได้เขียนอะไรสักอย่าง แม้จะเป็นการเขียนหรือวาดภาพเล่นก็ตาม เป็นการช่วยฝึกการสั่งงานของสมองของเราทางอ้อม อย่างเช่นว่า เราอาจเขียนตัวอักษรย้อนกับเหมือนกับตัวอักษรที่เห็นในกระจกเงา หรืออาจเขียนด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมๆกัน เป็นการฝึกทักษาการใช้ความคิด การมีจินตนาการ เพราะการขีดเขียนจะทำให้เกิดการกระตุ้นประสาทสัมผัสของร่างากาย เชื่อมโยงไปสู่การทำงานของสมอง เสริมสร้างความจำ เป็นการเพิ่มระดับไอคิว อีกทั้งยังเป็นการฝึกทักษะการเขียนของเราให้ดีมากยิ่งขึ้น สุดท้ายก็จะนำไปสู่การพัฒนาทักษะการเขียน ช่วยพัฒนาสมองของเราให้มีศักยภาพเพิ่มความจำ เพิ่มระดับไอคิวให้ดีขึ้นได้อีกนั่นเองครับ


เครดิตภาพจาก : blog.eduzones.com

10 พฤติกรรม ที่ทำให้สมองเสื่อม



พฤติกรรมที่ทำให้ สมองเสื่อม
ลองสังเกตดูตัวเราเองและคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่เรารัก ว่ามีพฤติกรรมเช่นนี้หรือไม่..? หากพบว่ามี..แนะนำให้รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ เพราะพฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพสมองของเราเลย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยเรียน ถือว่าเป็นวัยที่ต้องใช้ความคิด มีการใช้สมอง เป็นช่วงทีสมองกำลังพัฒนา และพฤติกรรมที่ทำลายสมอง 10 อย่างที่ว่านี้ ก็มีดังนี้ครับ

1. การสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์อันดับต้นๆ
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความจำสั้น สมองเสื่อมเร็วขึ้น
3. การไม่ทานอาหารเช้า จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมก่อนวัยอันควร
4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมากไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. เป็นคนไม่ค่อยพูด ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สมองเสื่อม หรือสมองไม่ได้รับการพัฒนา เพราะทักษะการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองของเราโดยตรง
6. สูดดมมลภาวะพิษเป็นประจำ การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะพิษเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงด้วย
7. ชอบนอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองโดยตรง
8. การอดนอนเป็นประจำ  เพราะการนอนหลับจะเป็นการพักผ่อนสมองไปในตัว สำหรับคนที่มักจะอดนอนเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เซลล์สมองตายได้
9. เป็นคนคิดมากขณะเจ็บป่วย  การทำงานหรือเรียนโดยไม่หยุดหย่อนในขณะที่กำลังเจ็บป่วยหรือไม่สบาย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
10. ไม่มีการฝึกฝนทางด้านการคิด  เพราะการคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกและเสริมทักษะให้สมองได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่ขาดการใช้ความคิด ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำให้เป็นโรคสมองฝ่อนั่นเองครับ
อ้างอิงจาก : http://www.vcharkarn.com/

เคล็ดลับสมองดี

อาหารมื้อเช้า บำรุงสมองได้

กิจกรรมพื้นฐานในตอนเช้าสำหรับคนวัยทำงานอย่างผมเมื่อสามปีที่แล้ว ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่กาแฟร้อนๆสักหนึ่งถ้วย ตามด้วยหนังสือพิมพ์อีกหนึ่งเล่ม รอฤกษ์งามยามดีใกล้ถึงเวลารูดบัตรเข้าทำงานแปดโมงเช้าก็พอ ถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันที่ขาดไม่ได้ นานๆทีถึงจะได้ลิ้มรสอาหารมื้อเช้าสักที เรียกได้ว่าอาทิตย์หนึ่งจะกินอาหารเช้าก่อนเข้าทำงานเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเน้นหนักเฉพาะอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็น นัยน์ว่าสะดวกสบายหรืออาจเป็นเพราะทำงานสบายไม่ต้องออกแรงมาก..อะไรประมาณนั้น..? ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายกับอาหารมื้อเช้าคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไหนได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัดครับ เพราะข้อมูลสุขภาพที่ผมได้ศึกษามาระบุว่า การไม่กินอาหารเช้าเป็นสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป หลายคนหลงคิดไปว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำ แต่อันที่จริงแล้วอาหารมื้อเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่จะเสริมสร้างสุขภาพร่างกายของเรา เพราะร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07.00-09.00 น. และที่สำคัญก็คือ ช่วงเวลานี้เองที่สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจนไปบำรุงเพื่อส่งไปเลี้ยงสมอง หากเราไม่กินอาหารเช้าก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจน ส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองของคนเราต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1,และบี 12 เพราะฉะนั้นแล้วขอแนะนำอย่างจริงใจ “อย่าพลาดอาหารมื้อเช้าเด็ดขาดนะครับ” หรือหากคุณไม่มีเวลาจริงๆ ก็ควรกิน โยเกิร์ตผสมนมสด + น้ำผึ้งและมะนาว ปิดท้ายด้วยกล้วยสุกสัก 1 ลูก แทนก็ได้ เพื่อสุขภาพร่างกาย และ "สุขภาพสมอง"  ที่ดีของเรานั่นเองครับ


เคล็ดลับเรียนเก่ง สมองดี

2 วิธีบริหารร่างกายป้องกันภาวะสมองเสื่อม

“สมอง” ของคนเราถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญของร่างกาย เป็นศูนย์กลางการสั่งงาน การประมวลผล คล้ายซีพียูของคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นแล้วเราควรมีการบริหารสมอง เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีเป็นประจำ เพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมอันจะตามมาในภายภาคหน้า และในบทความนี้ผมก็มีสองเทคนิคดีๆ ในการบริหารร่างกายให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับจากทั้งวงการแพทย์แผนไทยและแผนโบราณ รวมไปถึงเอกสารทางการแพทย์แผนจีนโบราณยังระบุว่า สามารถป้องกันโรคภาวะสมองเสื่อมในวัยชราได้ มาฝึกทำไปพร้อมๆกันเลยครับ

1. การบริหารนิ้วมือให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี

ซึ่งเป็นวิธีกดนิ้วมือของเราเอง เพื่อให้เลือดเลี้ยงสมองได้ดี สามารถป้องกันสมองเสื่อมได้ มีวิธีดังนี้
- ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วชี้  2 ครั้ง
- ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วกลาง  1 ครั้ง
- ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วนาง  3 ครั้ง
- ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วก้อย  4 ครั้ง
จากนั้นให้ทำกลับอีกครั้ง โดยกดมาที่นิ้วนาง 3 ครั้ง กดที่นิ้วกลาง  1 ครั้ง และกดที่นิ้วชี้  2 ครั้ง เป็นการจบการบริหารนิ้วมือชุดแรก ต่อด้วยการบริหารนิ้วมือชุดที่ 2 คือให้กดนิ้วกลาง  1 ครั้ง ต่อไปเลย พยายามทำอย่างนี้ให้ได้ 50 ชุดต่อวัน จะเกิดความสัมพันธ์ของสมองกับปลายนิ้วมือที่เราบริหาร ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการหลั่งสาร เอนโดรฟีนในร่างกายป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้

2. การฝึกลมหายใจให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี

การฝึกลมหายใจหรือการทำสมาธิ ถือว่ามีประโยชน์ต่อ “สุขภาพสมอง” มากที่สุด คือให้เราฝึกการหายใจเข้าอย่างช้าๆและหายใจลึกๆ ให้พุงป่องออก แล้วหายใจออกให้พุงยุบลง ในตอนเช้าตรู่ ในสถานที่เงียบๆ จะเป็นการกระตุ้นเซลล์สมองที่คุมโปรแกรมความจำที่ดีๆในอดีตหรือปัจจุบันได้ดี และเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้ปอดกับสมองของเราได้ แต่ในทางตรงข้าม หากเราหายใจถี่ๆ ตื้นๆ เร็วๆ จะเป็นการกระตุ้นเซลล์สมองกลุ่มที่บันทึกเรื่องราวไม่ดีเอาไว้ให้ออกมาใช้งาน เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงควรฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างช้าๆ เพื่อกระตุ้นเซลล์สมองกลุ่มที่บันทึกเรื่องดีๆเอาไว้ให้นำออกมาใช้งาน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ


เคล็ดลับเรียนเก่งสมองดี

6 วิธีป้องกันโรคสมองเสื่อม

มีข่าวล่ามาใหม่จะเล่าให้ฟัง เนื่องจากงานวิจัยในประเทศไทย พบว่า ในวันข้างหน้าอีกประมาณ 4 ถึง 5 ปี จะมีผู้ป่วยสูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมมากถึง 9 ล้านคน ซึ่งนั่นก็หมายถึงภาระที่คนในครอบครัวต้องแบกรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้องคอยดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวเดียวกันหรือที่เป็นเครือญาติกัน ที่เป็นโรคสมองเสื่อม สาเหตุเกิดจากอะไร? และมีวิธีแก้ไขอย่างไร? มาดูกันครับ

สาเหตุของโรค "สมองเสื่อม"
ส่วนสาเหตุของโรคสมองเสื่อมนั้น จากเอกสารทางการแพทย์ระบุว่า ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากภาวะที่เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เพระการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำติดต่อกันหลายปี ทำให้น้ำมันไปเกาะผนังลำไส้ จึงทำให้ระบบดูดซึมสารอาหารไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองได้

ลูก "ไข่เน่า" ผลไม้บำรุงสมอง
6 วิธีในการดูแลสมอง
1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. ขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
3. กินอาหารเช้าระหว่าง 07.00-09.00 น. เพื่อให้เลือดรับสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกินโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ระหว่างเวลา13.00-15.00 น. เพื่อเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็นวิตามิน บี12 แล้วส่งไปบำรุงสมอง
4. ล้างระบบดูดซึมในร่างกายด้วยสูตรมะละกอดิบต้มน้ำชงชา
5. ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสดต้มกับพุทราจีน แล้วดื่มน้ำเพื่อล้างหลอดเลือดเป็นประจำ

6. กินกระชายแล้วกินน้ำใบบัวบกตาม จะมีส่วนช่วยบำรุงสมองได้โดยตรง และควรกินผลไม้ที่มีชื่อว่า “ลูกไข่เน่า” ขึ้นฉ่าย เม็ดบัว และลูกแปะก๊วยเป็นประจำ เพราะเป็นผักผลไม้ที่มีวิตามินช่วยบำรุงสมองได้ดีมาก 
ขอบคุณภาพจาก www.mcot.net

ผัดพริกขิงปลาทูทอด สูตรบำรุงสมอง

ผัดพริกขิงปลาทูทอด สูตรบำรุงสมอง

เคล็ดลับสมองดี เรียนเก่ง
สำหรับเครื่องปรุงเอกของเมนูบำรุงสมองที่ว่านี้คือปลาทูสด จึงได้รับประโยชน์จาก โอเมก้า-3 โดยตรง อีกทั้งยังมีผักบุ้งที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตา อย่างที่คนโบราณเคยบอกว่า “กินผักบุ้งแล้วตาหวาน” เรียกได้ว่า “กินแล้วทั้งแข็งแรง ฉลาด แถมยังสวยด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยนัยน์ตาหวานๆ” อีกต่างหากครับ..พร้อมแล้วไปพิสูจน์กันเลย
ผัดพริกขิงปลาทูทอด สูตรบำรุงสมอง
ก่อนอื่นเตรียมส่วนผสม ดังนี้

- ปลาทูนึ่ง 2 ตัว
- ผักบุ้งหั่นเป็นท่อน (ขนาด 1 นิ้ว) 3 ขีด
- น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ
- ใบมะกรูดฉีก 4-5 ใบ
- พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเฉียง 3-5 เม็ด
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทรายแดง    1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันพืชสำหรับผัด 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันพืชสำหรับทอดปลา (ตามสมควร)
- น้ำสะอาด (เล็กน้อย)

วิธีทำ “ผัดพริกขิงปลาทูทอด” สูตรบำรุงสมอง มีขั้นตอนดังนี้

1. ทอดปลาทูนึ่งพอเหลือง ตักขึ้น แกะเอาแต่เนื้อ แล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นนำไปทอดพอให้กรอบนุ่ม ตักขึ้น พักไว้ก่อน

2. เทนำมันลงกระทะ เปิดไฟอ่อนๆ ผัดพริกแกงพอหอม ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลทรายแดง จากนั้นใส่เนื้อปลาทูทอดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน เติมน้ำเล็กน้อย  ผัดต่ออีกสักพักค่อยใส่ผักบุ้งลงไป ผัดพอสุก ใส่ใบมะกรูดและพริกชี้ฟ้าปิดท้าย เพียงเท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟได้เลยครับ

อาหารบำรุงสมองคลายเครียด

อาหารบำรุงสมองคลายเครียด

อาหารบำรุงสมอง
อาหารบำรุงสมอง
สำหรับเพื่อนๆที่ได้อ่านบทความนี้ ลองสังเกตดูตัวเอง หรือคนรอบข้างให้ดีนะครับว่า คุณรู้สึกเศร้า หดหู่ สิ้นหวัง เครียด และไม่มีความสุขเป็นเวลานานๆหรือไม่.? และหากอาการที่ผมว่ามานี้เคยเกิดกับคุณบ่อยๆ นั่นก็แสดงว่า สารเคมีที่มีอยู่ในสมองกำลังขาดสมดุล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกโดยตรง สำหรับคนส่วนใหญ่ที่เกิดอาการแบบนี้ก็มักจะไปปรึกษาแพทย์รับยาตามปกติ นั่นก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดครับ แต่หากเราจะแก้ไขสภาวะทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับสมองให้ได้ผลจริงๆ แนะนำให้เสริมด้วยการรับประทานวิตามินและเกลือแร่บางชนิด เพื่อไปช่วยเสริมสารเคมีที่อยู่ในสมองของเรา เช่น ทานมะขามหวาน กล้วยสุก และผักใบเขียวให้มากๆ ซึ่งจะทำให้ร่างกายของเราได้รับวิตามิน บี 6 และวิตามินที่ว่านี้ จะมีคุณสมบัติในการเปลี่ยนทริปโตแฟน (กรดอะมิโนทริปโตแฟนจะมีอยู่ในอาหารจำพวกโปรตีน) ให้เป็นเซโรโทนิน ซึ่งเซโรโทนินที่ผมว่านี้ ก็คือสารเคมีที่มีอยู่ในสมองของเรา และเป็นตัวที่ทำหน้าที่ไปกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกต่างๆให้มีความสุขนั่นเองครับ เช่นจะทำให้เรารู้สึกสบายขึ้น อารมณ์ดี นอนหลับงาย ไม่เครียด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะพบว่า “เซโรโทนิน” จะมีมากในอาหารทะเลสดๆ เพราะฉะนั้นแล้วหากเราอยากอารมณ์ดี ไม่เครียด นอกจากจะคิดทำแต่สิ่งดีๆแล้ว ก็ต้องเลือกรับประทานอาหารทะเลอย่างสม่ำเสมอด้วยนะครับ

อาหารบำรุงสมอง ป้องกันโรคความจำเสื่อม

เนื้อปลาแซลม่อน "สุดยอดอาหารบำรุงสมอง"
อาหารบำรุงสมอง

สำหรับโรคความจำเสื่อมก่อนวัยอันควร คงไม่เป็นที่พึงประสงค์ของใครเป็นแน่ครับ ถ้าหากคุณอยากจะชะลอความจำเสื่อมของสมองเอาไว้ก่อนวัยอันควร นอกจากจะต้องหมั่นบริหารสมองด้วยการฝึกคิด หรือพยายามจดจด หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพื่อกระตุ้นให้สมองตื่นตัวอยู่เสมอแล้ว อาหารที่รับประทานก็มีส่วนช่วยได้มากครับ เช่นให้หันมารับประทานเนื้อปลามากๆ โดยเฉพาะปลาทู ปลาแซลมอน หรือปลาซาร์ดีน เพราะในเนื้อปลาจะมีกรดไขมันจำพวกโอเมก้า 3 อยู่จำนวนมาก จะช่วยบำรุงสมองป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ หรือไม่ก็เลือกรับประทานอาหารประเภทธัญพืช ซึ่งจะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นสำหรับสมอง และจำเป็นสำหรับหลอดเลือดที่นำไปเลี้ยงสมองของเราได้ครับ